ด้วยเทคโนโลยีที่เจริญก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง ที่ทำให้ทุกคนก้มหน้าก้มตาไม่พูดคุยกันอยู่เช่นทุกวันนี้ ยังมีปัญหาสังคมอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ประเทศญี่ปุ่น ที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความก้าวล้ำทางเทคโนโลยีมากที่สุดแห่ง หนึ่งของโลก จากการสำรวจของคณะรัฐบาลญี่ปุ่น ในช่วงเดือนพฤศจิกายน ถึงเดือนธันวาคม 2556 พบว่า เด็กนักเรียนที่อายุ 10-17 ปี ใช้เวลาอยู่กับโทรศัพท์เฉลี่ยวันละ 107.4 นาที และเกือบ 40 เปอร์เซ็นต์ ใช้เวลาอยู่กับอินเตอร์เน็ตบนโทรศัพท์มือถือมากถึงกว่า 2 ชั่วโมงต่อวัน และ 52 เปอร์เซ็นต์ของเด็กมัธยมต้นในญี่ปุ่น มีมือถือเป็นของตัวเอง ในจำนวนนี้เกือบครึ่งหนึ่งใช้ สมาร์ทโฟน อย่างเช่น "ไอโฟน" เปรียบเทียบกับเมื่อ 3 ปีก่อนหน้านี้ ที่เด็กนักเรียนมัธยมต้นมีสมาร์ทโฟนใช้เพียงแค่ 2.6 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น การใช้มือถือคงไม่ใช่ปัญหาอะไรมากมาย หากไม่มีกลุ่มคนไม่หวังดีนำมันไปใช้ในทางล่อลวงและมีเด็กๆ ที่ตกเป็นเหยื่อของกลุ่มคนร้ายที่ใช้เทคโนโลยีบนมือถือ ในการพูดคุยแบบไม่เห็นหน้าเห็นตากัน มาล่อลวงเด็กนักเรียนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และกลายเป็นภัยสังคมที่กำลังสร้างปัญหาให้กับชาวญี่ปุ่น เช่นเดียวกับอีกหลายประเทศทั่วโลก ล่าสุด ทางคณะกรรมการการศึกษาของเมืองคาซูงะ จังหวัดฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น ได้ออกมาตรการจำกัดเวลาการใช้มือถือสำหรับเด็ก โดยห้ามเด็กมัธยมต้นใช้มือถือหลัง 22.00 น. หรือสี่ทุ่มเป็นต้นไป (ระดับมัธยมต้นในญี่ปุ่น คือระดับเกรด 7-9 เด็กนักเรียนอายุระหว่าง 13-15 ปี) และจะให้เด็กนักเรียนนำมือถือของตัวเองมอบให้แก่ผู้ปกครองเป็นคนดูแล ตั้งแต่เวลา 22.00-06.00 น. ของวันรุ่งขึ้น หลังจากนั้น ก็เอามือถือคืนให้แก่เด็ก ถามว่า ถ้าไม่ทำตาม มีความผิดไหม คำตอบคือ ตอนนี้ก็ยังไม่ได้มีการกำหนดบทลงโทษไว้สำหรับเด็กที่ฝ่าฝืนแต่อย่างใด ขอเป็นเรื่องของความร่วมมือเป็นหลัก เจ้าหน้าที่จากคณะกรรมการการศึกษาของเมืองคาซูงะ บอกว่า มาตรการดังกล่าวไม่ได้มีขึ้นเพราะเกิดเหตุรุนแรงอะไร แต่มีขึ้นหลังการหารือกันเกี่ยวกับความห่วงกังวลในเรื่องในการใช้สมาร์ทโฟน ของเด็กๆ ว่าอาจจะตกเป็นเหยื่อของการถูกล่อลวงบนโลกไซเบอร์ได้ จริงๆ ก่อนหน้านี้ ที่เมืองคาริยะ จังหวัดไออิจิ ได้มีการประกาศให้เด็กอายุ 6-15 ปี ห้ามใช้มือถือตั้งแต่เวลา 21.00 น. เป็นต้นไป ที่เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนแล้ว โดยเด็กๆ จะต้องมอบสมาร์ทโฟนให้แก่ผู้ปกครอง แล้วผู้ปกครองก็จะมีหน้าที่ตรวจสอบดูว่า เด็กๆ เข้าไปดูอะไรบ้างจากสมาร์ทโฟน ก็ถือว่าเป็นมาตรการที่ต้องการจะคุ้ม ครองเด็กๆ จากการถูกล่อลวงไปในทางที่ไม่ควร ซึ่งที่ประเทศอังกฤษเองก็เคยมีโครงการลักษณะนี้แล้วที่วิทยาลัยเบอร์เนจ มีเดีย อาร์ต ที่เมืองแมนเชสเตอร์ และประสบความสำเร็จด้วยดีเสียด้วย เพราะมันทำให้เด็กๆ มีผลการเรียนที่ดีขึ้นหลังจากการห้ามเด็กนักเรียนใช้โทรศัพท์มือถือระหว่าเรียน ก็เอาเป็นว่า ในช่วงเวลาที่ควรเรียน ก็เรียน เวลาที่ควรนอน ก็ต้องนอน กินก็กิน เล่นก็เล่น อย่าเอาเวลาทั้งหมดไปทุ่มอยู่กับมือถือ ชีวิตก็น่าจะดีขึ้น ^^
ข้อมูลจาก มติชน ออนไลน์ |
< ย้อนกลับ | ถัดไป > |
---|